D/E สัดส่วนหนี้ที่นักลงทุนห้ามละเลย
ทำธุรกิจก็ต้องกลัวเจ๊งใช่ไหม?
แน่นอนว่าเหตุผลในการเจ๊งจากการทำธุรกิจมีหลายแบบ
แต่แบบหนึ่งที่เห็นได้บ่อยจากบริษัทจดทะเบียนและถือเป็นความเสี่ยงสำคัญของการลงทุนในหุ้น
คือ “บริษัทที่มีหนี้มากเกินไป”
หนี้จัดเป็นการระดมทุนแบบหนึ่งเพื่อนำเงินมาใช้ในธุรกิจ
โดยอาจจะอยู่ในรูปแบบของเงินกู้ยืมจากธนาคาร การออกหุ้นกู้
รวมไปจนถึงหนี้สินที่เกี่ยวกับเงินทุนหมุนเวียน เช่น เจ้าหนี้การค้า
หนี้จัดเป็นการใช้แรงทดหรือ leverage ประเภทหนึ่ง คือถึงแม้ว่าเจ้าของกิจการจะมีเงินจำกัด
แต่ก็กู้เงินมาเพื่อเพิ่มเงินที่จะไปใช้ในการทำธุรกิจ หากธุรกิจราบรื่นไปได้ด้วยดี
การกู้หนี้มาลงทุนจะช่วยเพิ่มผมตอบแทนจากส่วนทุนได้เมื่อเทียบกับไม่มีการกู้หนี้เลย
เช่น บริษัท ปุณน้อย จำกัด
ทำธุรกิจขายสินค้าสำหรับเด็ก โดยการเปิดหน้าร้านหนึ่งต้องใช้เงิน 100 บาท
และจะได้กำไรจากร้านประมาณ 10 บาทต่อปี ปุณน้อยมีเงินทุนส่วนตัว 500 บาทในการทำธุรกิจ
หากปุณน้อยไม่กู้เงินเลย ปุณน้อยจะได้รับผลตอบแทน 50 บาทต่อเงินทุน 500 บาท หรือประมาณ 10% ต่อปี
แต่ถ้าปุณน้อยกู้เงินธนาคารมา 500
บาทในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ปุณน้อยจะเปิดร้านค้าได้
10 ร้าน
และสร้างกำไรได้ 100 บาท เมื่อหักดอกเบี้ยจ่าย 5% หรือ 25 บาท ปุณน้อยจะเหลือกำไร 75 ต่อเงินลงทุน 500 บาท หรือคิดเป็น 15%
แต่ในทางตรงกันข้าม
หากธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น ปุณน้อยจะมีภาระดอกเบี้ยจ่าย 25 บาททุกปี
ซึ่งในกรณีที่เศรษฐกิจไม่ดีหรือมีความเปลี่ยนแปลงในธุรกิจ ปุณน้อยอาจขาดทุนได้
และภาระขาดทุนอาจจะนำไปสู่การล้มละลายในอนาคตได้
การวิเคราะห์หนี้ของบริษัทจึงเป็นสิ่งสำคัญ
โดยอัตราส่วนทางการเงินที่นิยมใช้ที่สุดคือ "D/E ratio หรือ อัตราส่วนหนี้ต่อทุน"
อัตราส่วนหนี้ต่อทุน
(DE) = หนี้สินของบริษัท ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท
เช่น บริษัท ปุณน้อย จำกัด
ที่ยกตัวอย่าง มีส่วนของเจ้าของ 500
บาทและหนี้สิน 500 บาท แบบนี้คือมีค่า
DE เท่ากับ 1 เท่า
โดยนักลงทุนสามารถหาตัวเลขหนี้สินของบริษัทและส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทได้ที่งบแสดงฐานะทางการเงินของบริษัท
หรือที่รู้จักกันในชื่องบดุล
ซึ่งบริษัทจดทะเบียนทุกบริษัทจะแจ้งกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
คำถามคือ DE ควรเป็นเท่าไหร่ถึงจะดี?
การวิเคราะห์ DE ก็ถือเป็นศิลปะแบบหนึ่ง
โดยทั่วไปค่า DE ต่ำจะแปลว่าดี เพราะมีภาระหนี้สินต่ำ แต่ถ้าค่า DE สูง แปลว่าไม่ดี
เพราะมีภาระหนี้สินสูง
นักลงทุนมักจะยอมรับค่า DE อยู่ที่ไม่เกิน 2 ในธุรกิจทั่วไป
การวิเคราะห์เบื้องต้นจะมองว่าหากค่า DE ต่ำกว่า 1 จะถือว่ามีโครงสร้างเงินทุนที่ดี
หากอยู่ประมาณ 1.5 ก็ควรจะลงรายละเอียดในการสร้างหนี้ของบริษัทเป็นพิเศษ
แต่ถ้ามากกว่า 2 นักลงทุนส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยง แต่ความจริงก็สามารถลงทุนได้
หากเข้าใจในความเสี่ยงเกี่ยวกับภาระหนี้ของบริษัทดีพอ
ธุรกิจบางประเภทอาจมีค่า DE สูงเป็นธรรมชาติ
อย่างเช่นธุรกิจการเงิน เช่น ธนาคาร สินเชื่อ ประกัน
เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้มีผลิตภัณฑ์เป็นเงินซึ่งระดมทุนผ่านทางหนี้อย่างเงินฝากธนาคาร
และปล่อยกู้ออกไปอยู่ในฝั่งสินทรัพย์ ทำให้ธุรกิจกลุ่มนี้มีค่า DE สูงเป็นปรกติ
โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วง 5 – 10 แต่ถ้าสูงเกิน 10 ไปก็อาจจะต้องไปศึกษาลงลึกในรายละเอียดอีกที
ในขณะที่ธุรกิจที่มีความแน่นอนของกระแสเงินสดในอนาคตมากๆ
ธนาคารก็อาจจะยอมปล่อยกู้ จนมี DE สูงได้เช่นกัน
อย่างเช่นธุรกิจโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าจากภาครัฐแล้ว แบบนี้กระแสเงินสดในอนาคตชัดเจน
ธนาคารก็อาจจะยอมปล่อยกู้ให้ เพราะความเสี่ยงในการผิดนัดชำระต่ำก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้ต่อทุน หรือ DE ratio เป็นเพียงตัวเลขตัวแรกที่ใช้ในการวิเคราะห์หนี้เท่านั้น
ในความเป็นจริง หากธุรกิจมีภาระหนี้สูง หรือภาระดอกเบี้ยจ่ายมาก
นักลงทุนจำเป็นต้องเจาะลึกลงไปในรายละเอียดอีกมาก โดยเฉพาะในมุมมองสภาพคล่อง
หรือความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย
"อย่าลืม ก่อนลงทุนในหุ้นชำเลืองมองค่า DE สักนิดหนึ่งว่าน่าเป็นห่วงไหม"
ระวังว่าถือหุ้นไป
ธุรกิจเขาจะล้มละลายโดยไม่รู้ตัว